การที่ใบหน้าเริ่มมีริ้วรอย ผิวหน้าเหี่ยว หน้าหย่อนคล้อย เป็นสิ่งที่หลายคนกังวลใจ โดยเฉพาะเมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนวัยอันควร ทำให้หน้าดูแก่กว่าอายุจริง และส่งผลต่อความมั่นใจในตัวเอง แต่ปัญหา ‘หน้าเหี่ยวย่น’ ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีวิธีการดูแลและป้องกันที่ช่วยปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายมากขึ้น และสามารถทำเองได้ที่บ้าน
หากคุณกำลังเจอปัญหาหน้าเหี่ยวย่นและกำลังมองหาทางรักษาที่ได้ผลจริง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับสาเหตุของปัญหา วิธีการป้องกัน และเคล็ดลับการดูแลที่จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณกลับมาเต่งตึงและดูอ่อนเยาว์อีกครั้ง รวมถึงหัตถการทางการแพทย์ที่อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนยิ่งขึ้น
ปัญหาหน้าเหี่ยวย่น มีลักษณะอย่างไร
หน้าเหี่ยวย่น เป็นสภาวะที่ผิวหน้าสูญเสียความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้น ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ และผิวดูหย่อนคล้อย ลักษณะของปัญหานี้จะปรากฏได้หลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละคนอาจพบเจอในระดับที่แตกต่างกัน เช่น
- ริ้วรอยรอบดวงตา เป็นหนึ่งในสัญญาณแรกที่บ่งบอกถึงการเริ่มต้นของปัญหาหน้าเหี่ยวย่น บริเวณนี้มักเกิดเส้นเล็ก ๆ ที่เรียกว่า ‘รอยตีนกา’ ซึ่งจะชัดเจนขึ้นเมื่อยิ้มหรือหัวเราะ นอกจากนี้ยังมีถุงใต้ตาและหนังตาตก ที่ทำให้ดวงตาดูหม่นหมองและไม่สดใส
- ริ้วรอยบริเวณหน้าผาก จะเกิดเป็นริ้วรอยแนวนอนบนหน้าผาก และเส้นแนวตั้งระหว่างคิ้ว ซึ่งมักเกิดจากการทำสีหน้าต่าง ๆ เป็นประจำ เช่น การขมวดคิ้วหรือการยกคิ้ว
- ริ้วรอยร่องแก้ม เป็นอีกลักษณะหนึ่งของปัญหาหน้าเหี่ยวย่นที่พบได้บ่อย จะเกิดเป็นเส้นเล็ก ๆ รอบริมฝีปาก และร่องลึกจากปีกจมูกไปยังมุมปาก ซึ่งจะทำให้ใบหน้าดูหย่อนลงและแก่ขึ้น
รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าจะมีความหยาบกร้าน ไม่เรียบเนียนเหมือนเดิม อาจมีจุดด่างดำเพิ่มมากขึ้น และสีผิวไม่สม่ำเสมอ ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ทำให้เมื่อบีบหรือหยิกผิวแล้วจะไม่กลับสู่สภาพเดิมได้เร็วเหมือนที่เคย ทำให้ใบหน้าดูไม่กระชับและดูมีอายุเกินวัย
หน้าเหี่ยวย่น มีริ้วรอย เกิดจากอะไร
การเกิดหน้าเหี่ยวย่น มีริ้วรอยบนใบหน้า มีสาเหตุมาจากหลากหลายปัจจัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่สะสมเป็นระยะเวลานาน การเข้าใจสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด โดยปัญหาใบหน้าเหี่ยว มักเกิดจาก
- อายุที่เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหลักที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน (Elastin) ลดลง ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและความกระชับ การลดลงของสารเหล่านี้เริ่มตั้งแต่อายุ 25 ปี
- การใช้ชีวิตประจำวัน ที่ไม่เหมาะสมส่งผลต่อการเกิดหน้าเหี่ยวย่นอย่างมาก เช่น การนอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้ร่างกายไม่มีเวลาซ่อมแซมเซลล์ผิว การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำลายคอลลาเจนและลดการไหลเวียนของเลือด ที่ส่งผลให้ผิวขาดออกซิเจนและสารอาหาร รวมไปถึงการดื่มน้ำไม่เพียงพอ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาสม หรือการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำจะทำให้ผิวแห้งและเร่งการเกิดริ้วรอย
- แสงแดดและรังสี UV เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดใบหน้าเหี่ยวย่นก่อนวัย รังสี UV จะทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดอนุมูลอิสระที่ทำลายเซลล์ผิว และเป็นสาเหตุของจุดด่างดำต่าง ๆ
- ผิวแห้ง เป็นอีกสาเหตุสำคัญของหน้าเหี่ยวย่น เมื่อผิวขาดความชุ่มชื้น จะทำให้ผิวดูหยาบกร้านและริ้วรอยชัดเจนขึ้น
- การแสดงออกทางสีหน้า ที่ทำซ้ำ ๆ เป็นประจำ ก็เป็นสาเหตุของหน้าเหี่ยวย่น ไม่ว่าจะเป็นการขมวดคิ้ว การยิ้ม การหัวเราะ หรือการทำสีหน้าต่าง ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าหดเกร็ง และเมื่อเวลาผ่านไป ผิวจะไม่สามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ ทำให้เกิดริ้วรอยถาวร
- ปัจจัยทางพันธุกรรม ก็มีผลต่อการเกิดหน้าเหี่ยวย่นเช่นกัน บางคนมีผิวที่แข็งแรงและต้านทานการเสื่อมสภาพได้ดีกว่า ในขณะที่บางคนอาจมีผิวที่บอบบางและเสื่อมสภาพเร็วกว่า ซึ่งส่วนนี้เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถชะลอได้ด้วยการดูแลที่เหมาะสม
- มลพิษทางอากาศ ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันก็เป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดหน้าเหี่ยวย่น ฝุ่น ควัน และสารเคมีต่างๆ ในอากาศจะสะสมบนผิวหน้า ทำให้เกิดการอักเสบและเร่งการเสื่อมสภาพของผิว
การรู้จักสาเหตุเหล่านี้จะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและเลือกใช้วิธีการดูแลที่เหมาะสม เพื่อป้องกันและชะลอการเกิดหน้าเหี่ยวย่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มัดรวม 7 วิธีแก้หน้าเหี่ยวย่น ลดเลือนริ้วรอย ทำเองได้ที่บ้าน
การแก้ปัญหาหน้าเหี่ยวย่น ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากหรือต้องไปคลินิกความงาม เพราะมีวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำเองที่บ้านได้ และให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจหากทำอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง ช่วยให้ผิวหน้ากลับมาเต่งตึง กระชับ ดูอ่อนเยาว์ขึ้น โดย 7 เคล็ด(ไม่)ลับที่เราจะมาแนะนำมีอะไรกันบ้าง เรามาดูกันเลย
1. ทำ Mini Hifu เองที่บ้าน
Mini Hifu เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่สูงในการกระชับผิว ซึ่งเดิมทีใช้ในคลินิกความงาม แต่ปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่อง Mini Hifu ที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในบ้าน อย่าง Parin Mini Hifu ที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยและเห็นผลลัพธ์จริงเมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ
โดยเครื่อง Parin Mini Hifu ใช้เทคโนโลยี HIFU & RF Treatment ทำงานโดยส่งคลื่นไฟฟ้าความถี่สูงในช่วง 0.3-0.5 MHz เข้าไปในชั้นผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวตึงขึ้นและลดเลือนริ้วรอย ปรับความแรงได้ 3 ระดับ สามารถทำได้ทุกวันโดยไม่ทำลายผิวหน้า จะเห็นผลลัพธ์ได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ ผิวจะตึง กระชับขึ้น ริ้วรอยจะจางลง หากใช้อย่างต่อเนื่องจะช่วยชะลอการเกิดปัญหาหน้าเหี่ยวย่น และรักษาผลลัพธ์ที่ได้ให้นานขึ้น
นอกจาก Parin Mini Hifu ของเราจะเป็นวิธีทำให้หน้าเรียวแล้ว ยังช่วยให้ผิวมีความแข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวสามารถรับมือกับปัจจัยภายนอกที่ทำร้ายผิวได้ดีขึ้น เช่น แสงแดด มลภาวะ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ผิวเสื่อมสภาพและทำให้ผลลัพธ์ของการทำหัตถการลดลง ถือเป็นวิธีลดหน้าเหี่ยวที่คุ้มค่า และประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับการไปทำที่คลินิก
ดูวิธีใช้: คู่มือวิธีใช้เครื่องนวดหน้า ที่บ้าน ที่ถูกต้องจาก Parin
2. นวดยกกระชับผิวหน้า
การนวดหน้าเป็นวิธีแก้ไขหน้าเหี่ยวย่นที่เห็นผลจริงและทำได้ง่าย ซึ่งจะยิ่งดีขึ้นหากใช้เครื่องนวดหน้ายกกระชับที่มีคุณภาพ โดยเครื่องนวดหน้าจาก Parin รุ่น Parin Re-Aging ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและการสร้างคอลลาเจนโดยเฉพาะ ด้วย 2 โหมดการทำงาน ได้แก่ โหมด ROLLER ลูกกลิ้งนวดหน้า หัวไทเทเนียม นวดยกกระชับ กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และโหมด EMS ที่ใช้กระแสไฟฟ้า EMS เพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อ คลื่นไฟฟ้าอ่อน ๆ ทำให้เกิดการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผิวหน้าเฟิร์ม กระดับ ริ้วรอยตื้นขึ้น พร้อมลดเลือนจุดด่างดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ สามารถควบคุมความแรงและความถี่ได้แม่นยำ และสามารถใช้ร่วมกับ serum หรือครีมบำรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
3. ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
การป้องกันแสงแดดเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดในการป้องกันผิวหน้าเหี่ยวย่น เพราะรังสี UV เป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมสภาพของผิวก่อนวัย และยังช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง จุดด่างดำ และปัญหาผิวอื่นๆ อีกด้วย การใช้ครีมกันแดดที่มี SPF อย่างน้อย 30 PA และมี broad spectrum protection จะช่วยป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB และควรทาครีมกันแดดให้ทั่วใบหน้า รวมทั้งคอ และหู โดยใช้ปริมาณประมาณ 2 ข้อนิ้ว ทาก่อนออกแดด 15-30 นาที และควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง หรือหลังจากเหงื่อออกมาก
4. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดริ้วรอย
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมเฉพาะเจาะจงจะช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าและป้องกันหน้าเหี่ยวย่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนผสมสำคัญที่ควรมองหาในผลิตภัณฑ์ต่อต้านริ้วรอย ได้แก่
- Retinol เป็นส่วนผสมทองคำในการต่อต้านริ้วรอย ช่วยเร่งการหลุดล่อนของเซลล์ผิวเก่า กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และปรับปรุงเนื้อผิว การใช้ retinol ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำและเพิ่มค่อยๆ เพื่อให้ผิวปรับตัว
- Vitamin C เป็น antioxidant ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และช่วยให้ผิวสว่างขึ้น ควรใช้ตอนเช้าและต้องใช้ร่วมกับครีมกันแดด เพราะ Vitamin C จะทำให้ผิวไวแสงมากขึ้น
- Hyaluronic Acid ช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและริ้วรอยจางลง เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว และสามารถใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น
- Peptides เป็นโปรตีนขนาดเล็กที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและความแข็งแรงมากขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและไม่สามารถใช้ retinol ได้
- AHA และ BHA เป็นกรดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวเรียบเนียนและริ้วรอยจางลง AHA เหมาะสำหรับผิวแห้งและปกติ ส่วน BHA เหมาะสำหรับผิวมันและผิวที่มีสิว ควรใช้ตอนเย็นและต้องใช้ครีมกันแดดในวันถัดไป
การใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ควรเริ่มทีละตัวและสังเกตปฏิกิริยาของผิว ไม่ควรใช้หลายตัวพร้อมกันในครั้งแรก เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองได้
5. พักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับเป็นเวลาที่ผิวจะซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง การนอนไม่เพียงพอจะส่งผลต่อการเกิดหน้าเหี่ยวย่น อย่างที่หลายคนคาดไม่ถึง เพราะร่างกายจะผลิตฮอร์โมนการเจริญเติบโตและคอลลาเจนในช่วงที่หลับลึก จึงควรนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายจะซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย กำจัดสารพิษ และสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูสดใสและลดการเกิดริ้วรอย
นอกจากปริมาณการนอนแล้วคุณภาพของการนอนก็สำคัญไม่แพ้กัน การนอนในที่มืด เงียบ อุณหภูมิเหมาะสม และมีการระบายอากาศดีจะช่วยให้หลับลึกมากขึ้น รวมถึงเลือกใช้หมอนที่เหมาะสมและการนอนหงายจะช่วยป้องกันริ้วรอยจากการกดทับใบหน้า นอกจากนี้ การนอนหลับเพียงพอจะช่วยลดความเครียด ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดหน้าเหี่ยวย่น เมื่อเครียดน้อยลง ร่างกายจะผลิตคอร์ติซอล (Cortisol) น้อยลง ซึ่งฮอร์โมนนี้จะทำลายคอลลาเจนหากมีมากเกินไป
6. โยคะแก้หน้าเหี่ยวย่น
โยคะใบหน้า หรือ Face Yoga เป็นวิธีการออกกำลังกายสำหรับกล้ามเนื้อใบหน้า ที่จะช่วยกระชับผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด และลดการเกิด หน้าเหี่ยวย่น โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ยกตัวอย่างเช่น การยิ้มแล้วทำปากท่า ‘อะ อิ อุ เอะ โอะ’ แบบเปลี่ยนไปมา 10 ครั้ง หรือการดูดแก้มเข้าหาฟันแล้วปล่อย ก็จะช่วยกระชับกล้ามเนื้อรอบปากและลดริ้วรอยในบริเวณนี้
ซึ่งการทำโยคะใบหน้าควรทำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 10-15 นาที เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ควรทำในสถานที่ที่มีกระจกเพื่อสังเกตการเคลื่อนไหว
7. เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารที่ทานมีผลต่อสุขภาพผิวอย่างมาก การเลือกทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยบำรุงผิวจากภายใน และลดหน้าเหี่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
- อาหารโปรตีนสูง เช่น ไก่ ปลา ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากนม
- Vitamin C จากผลไม้และผัก เช่น ส้ม มะนาว สตรอว์เบอร์รี่ กีวี ฝรั่ง
- อาหารที่มี Omega-3 เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า อะโวคาโด ถั่ววอลนัท
- อาหารที่มี Antioxidants สูง เช่น บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ ผักใบเขียวเข้ม ชาเขียว
- การดื่มน้ำ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้ผิวได้รับความชุ่มชื้นจากภายในและช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย
และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารทอด อาหารแปรรูป และแอลกอฮอล์ เพราะจะเร่งการเสื่อมสภาพของผิวและทำให้เกิด หน้าเหี่ยวย่น เร็วขึ้น
หัตถการที่ช่วยรักษาหน้าเหี่ยวย่นโดยแพทย์ มีอะไรบ้าง
สำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจนมากขึ้นในการรักษาหน้าเหี่ยวย่น หัตถการทางการแพทย์เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับความนิยม โดยแต่ละหัตถการจะมีข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมที่แตกต่างกัน
1. โบท็อกซ์
โบท็อกซ์ เป็นหัตถการที่ใช้สารพิษจากแบคทีเรีย Clostridium botulinum ที่ผ่านการฟอกบริสุทธิ์แล้ว เพื่อยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อจางลงหรือหายไป เหมาะสำหรับรักษาริ้วรอย หน้าเหี่ยวย่น ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เช่น ริ้วรอยหน้าผาก ริ้วรอยระหว่างคิ้ว และรอยเท้าห่านรอบดวงตา ผลลัพธ์จะเห็นได้ภายใน 3-7 วัน และคงอยู่ได้ 3-6 เดือน
ข้อดีของโบท็อกซ์ คือเป็นหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ทำเสร็จเร็ว ไม่ต้องพักฟื้น และมีความปลอดภัยสูงหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการเกิดริ้วรอยใหม่ได้หากทำอย่างสม่ำเสมอ
2. ฟิลเลอร์
ฟิลเลอร์ เป็นสารที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อเติมเต็มบริเวณที่เหี่ยวย่นหรือยุบตัว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและลดเลือนริ้วรอย ฟิลเลอร์ที่ใช้กันมากที่สุดคือ Hyaluronic Acid ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายตามธรรมชาติ เหมาะสำหรับแก้ไขหน้าเหี่ยวย่น ริ้วรอยลึก เช่น ร่องน้ำตา ริ้วรอยรอบปาก และการเติมเต็มแก้มที่ยุบตัว นอกจากนี้ยังใช้เพื่อปรับรูปหน้า เพิ่มปริมาตรริมฝีปาก และยกกระชับใบหน้าได้ โดยผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ จะเห็นได้ทันทีหลังการฉีด และจะสมบูรณ์ที่สุดภายใน 2 สัปดาห์ ความคงทนขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ โดยทั่วไปจะอยู่ได้ 6-18 เดือน
ข้อดีของฟิลเลอร์คือให้ผลลัพธ์ทันที สามารถปรับแก้ได้หากไม่พอใจ และมีความปลอดภัยสูง ส่วนข้อเสียคือ อาจมีการบวม ฟกช้ำ หรือการอักเสบที่บริเวณที่ฉีด
3. ร้อยไหม
ร้อยไหม เป็นหัตถการที่ใช้เส้นไหมพิเศษร้อยใต้ผิวหนังเพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย หน้าเหี่ยวย่น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบเส้นไหม มีหลายชนิด เช่น PDO Thread, PLLA Thread และ PCL Thread เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง ต้องการยกกระชับใบหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ผลลัพธ์จะเห็นได้ทันที และจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนใหม่ ให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพักฟื้นนาน และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ความคงทนประมาณ 1-2 ปี ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมและสภาพผิวของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม ร้อยไหมอาจมีความเสี่ยงเช่น การติดเชื้อ การเคลื่อนที่ของเส้นไหม หรือการเห็นเส้นไหมที่ใต้ผิว หากทำโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์
4. Thermage
Thermage เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) เพื่อส่งความร้อนเข้าไปในชั้นผิวหนังลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ และทำให้คอลลาเจนเดิมหดตัวกระชับขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อย หน้าเหี่ยวย่น ระดับเล็กน้อย ต้องการกระชับผิวโดยไม่ต้องผ่าตัด และต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ สามารถทำได้ทั้งใบหน้า คอ และร่างกาย จะเห็นผลได้เล็กน้อยทันทีหลังทำหัตถการ และจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ภายใน 3-6 เดือน เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนใหม่
5. การผ่าตัดตึงหน้า
การผ่าตัดตึงหน้า หรือ Facelift เป็นหัตถการที่ทำการตัดผิวส่วนเกินออกและยกกระชับกล้ามเนื้อและผิวหนังให้ตึงขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหน้าเหี่ยวย่นมาก ผิวหย่อนคล้อยมาก และไม่สามารถใช้หัตถการอื่นๆ ในการแก้ไขได้
โดยข้อดีของการผ่าตัดตึงหน้า คือให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงทนที่สุด (ประมาณ 10-15 ปี) สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุม และเปลี่ยนแปลงรูปหน้าได้อย่างชัดเจนหลังทำ แต่ก็เป็นวิธีรักษาหน้าเหี่ยวที่มีความเสี่ยงสูง ต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน อาจมีแผลเป็น และต้นทุนสูง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการใช้ยาสลบและการติดเชื้อ
ก่อนตัดสินใจทำหัตถการนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเลือกคลินิกที่ไว้วางใจได้ เพื่อให้แพทย์สามารถประเมินสภาพผิวและแนะนำหัตถการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล รวมถึงอธิบายข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงของแต่ละหัตถการอย่างละเอียด
ผิวกลับมากระชับ เต่งตึง ไร้ริ้วรอย ด้วยผลิตภัณฑ์จาก Parin
ถึงแม้หน้าเหี่ยวย่นจะเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องพบเจอเมื่ออายุมากขึ้น แต่ไม่ใช่เรื่องที่แก้ไขไม่ได้ การรู้จักสาเหตุและวิธีการป้องกันที่ถูกต้องจะช่วยให้เราสามารถรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวหน้าได้นานขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลอย่างสม่ำเสมอและอดทน ผลลัพธ์จะค่อย ๆ ปรากฏชัดเมื่อเวลาผ่านไป การใช้ตัวช่วยอย่าง Parin Mini Hifu และ Parin Re-Aging ร่วมกับการดูแลด้วยวิธีธรรมชาติ จะช่วยให้คุณลูกค้ามีผิวหน้าที่ดูเด็กลง เต่งตึง เฟิร์ม และสุขภาพดี ติดต่อเพื่อสั่งซื้อสินค้าได้ที่
Line: @parin_th
Facebook: Parin Thailand
Website: https://www.parinthailand.com
Tel: 0991987805